วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

แนวทางดูแลสิว

เอาล่ะค่ะ คราวนี้เรามาพูดถึงภาคปฏิบัติกันดีกว่า เมื่่อรู้สาเหตุต้นตอของสิวแล้วว่า เกิดจากสาเหตุใด มาลองปฏิบัติดูว่า ต้องทำอย่างไร? ต้ิองกินอะไร ? รักษาความสะอาดของผิวหน้ามากน้อยแค่ไหน? ใช้ผลิตภัณฑ์แบบไหน? และที่สำคัญต้องดีท็อกซ์จิตใจด้วยค่ะ


ภาพนี้ก่อนรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด มีสิวอักเสบ บวมแดง มีไตแข็งๆ ใต้ผิว รอยแดงจากสิว หลุมสิว ผิวไม่เรียบ รูขุมขนกว้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้เจอสมรภูมิสิวมาเยอะค่ะ และรักษาด้วยวิธีผิดๆ มาโดยตลอด ทั้งฉีดสิว กดสิว เลเซอร์สิว ทานยารักษาสิว ทำทุกอย่าง ทั้งใช้ผลิตภัณฑ์ลอกผิวหน้า สงสารผิวมากๆค่ะ T_T ก่อนหน้านี้เป็นสิวหัวหนองขึ้นเยอะมากๆ ค่ะ นับสิบๆ เม็ด แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายไว้ ......




















1 สัปดาห์ เริ่มดูแลตัวเองตามแนวธรรมชาติบำบัดค่ะ ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากค่ะ เพราะเป็นการรักษาแบบธรรมชาติ ค่อยๆให้ร่างกายรักษาตัวเอง แต่หน้ามันน้อยลง สิวอักเสบเริ่มยุบ จากเดิมที่ใช้ยาแต้มสิวต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย แต่สิวอักเสบเมื่อใช้ยาแต้มสิวร่วมกับการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดใช้เวลาเพียงไม่ึถึง 1 สัปดาห์ก็ยุบแล้วค่ะ ^__^


3  สัปดาห์หลังจากดูแลตัวเองตามแนวธรรมชาติบำบัด ปัญหาสิวดีขึ้นตามลำดับค่ะ สิวอักเสบมีขึ้นบ้างเล็กน้อย ส่วนมากเหลือแต่ปัญหารอยแผลเป็นจากสิว




(เมคอัพไปงาน นี่ขนาดเมคอัพแล้วนะคะ ผิวยังไม่ค่อยเรียบ สีผิวไม่สม่ำเสมอ แต่สิวอักเสบเป็นเม็ดๆ ไ่ม่มีแล้วค่ะ)

















เดือนกว่าๆ ผล
จากการดูแลตัวเองแนวธรรมชาติบำบัด ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น หน้ามันน้อยลง 
ไม่มีสิวอักเสบแล้วค่ะ ^____^ ปัญหารูขุมขนกว้างก็ลดน้อยลง 




2 - 3 เดือน กับการดูแลปัญหาสิวด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด ตอนนี้เหลืออนุสรณ์สิวคือ รอยสิว และหลุมสิว ค่ะ แต่สิวอักเสบไม่ขึ้นแล้วค่ะ ^______^ (ไม่ได้แต่งหน้านะคะ ลงแค่แป้งฝุ่น) 






          ผิวเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ค่ะ ตอนนี้ไม่มีสิวอักเสบหรือสิวอุดตันแล้ว มีเพียงรอยสิวนิดหน่อย






(ภาพไม่ได้ตกแต่งนะคะ) 
ใช้เวลาดูแลตัวเอง ประมาณ 3 - 4 เดือนค่ะ ตอนนี้ก็บอกลาสิวอักเสบแล้ว  
จะมีขึ้นก็ตอนมีรอบเดือนเพียง 1 -  2 เม็ดค่ะ  แต่ยุบเร็วภายใน 2 - 3 วัน 

      ประสบการณ์ดูแลปัญหาสิวของแอร์ด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดใช้เวลาโดยประมาณ 3 - 4 เดือนค่ะ แต่บางคนอาจใช้เวลาเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของแต่ละคน  บางคนเพียงแค่ 1 เดือนก็หน้าใสกิ๊กแล้วค่ะ แถมยังหุ่นฟิตสวยอีกต่างหาก ....  จากเดิมที่แอร์เคยรักษาสิวมายาวนานกว่า 5  ปี กลับไม่ประสบผลสำเร็จเท่าวิธีนี้ค่ะ แถมผิวหน้าเรายิ่งเสื่อมโทรม ย่ำแยลงกว่าเดิม  อยากให้ทุกคนได้ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูค่ะ  ได้ผลอย่างยั่งยืนแน่นอน




เริ่มต้นดูแลสิวด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดกันเถอะค่ะ 
      ปัญหาสิวไม่ใช่เรื่องของผิวหนังเพียงอย่างเดียว  แต่เป็นเรื่องสุขภาพภายใน  อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายที่เสื่อมโทรม ระบบย่อยอาหารทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ 
แอร์อยากจะแนะนำให้ทุกคน ลองวิธีที่แอร์เคยทำดู และคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เคยทำมา 




วิธีปฏิบัติของแอร์ 
      แอร์แบ่งการดูแลออกเป็น 2 ส่วน  เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่พึงพอใจ  คือ  การดูแลจากภายใน และการดูแลผิวภายนอก  ต้องทำให้อวัยวะภายในร่างกายสะอาดค่ะ  ล้างสารพิษในอวัยวะภายในให้สะอาด
โดยการดีท็อกซ์ .......ต้องแก้ที่สาเหตุที่ทำให้เป็นสิว ที่แอร์ได้พูดไว้แล้วว่า เกิดจากสารพิษ (toxin) ในร่างกาย ส่วน สารพิษก็เกิดจากอาหารที่ไม่ถูกย่อย 
      สาเหตุหลักของการเป็นสิวคืออาหารไม่ถูกย่อย ทำให้กลายเป็นกากของเสีย เกิดเป็นตะกรัน ในลำไส้ใหญ่ วิธีที่จะนำตะกรันเหล่านี้ออกจากลำไส้ใหญ่ คือการสวนล้างลำไส้ 


หน้าต่อไปแอร์จะเล่าถึงวิธีดูแลตนเองตามแนวทางธรรมชาติบำบัดโดยละเอียดค่ะ ^______^


อยากให้เพื่อนๆ ที่มีปัญหาแบบเดียวกัน จะมีผิวพรรณที่สวย ใส และสุขภาพดีกันทุกคน

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

อะไรคือสาเหตุของสิว

หลายคนมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเรื่องสาเหตุที่แท้จริงของสิว  เช่น  เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย  ความสกปรกบนใบหน้า ซึ่งจริงบางส่วนค่ะ แต่เคยสงสัยมั๊ยคะว่า  เราทำความสะอาดหน้าเราดีมาก มีทั้งใช้ cleanser ล้างด้วยเจลล้างหน้า หรือ โฟม หรือ สบู่ เช็ดหน้าด้วยผ้าสะอาด เช็ดทำความสะอาดอีกรอบด้วยโทนเนอร์ แต่ทำไมสิวก็ยังขึ้น  ในขณะที่เพื่อนของเรา แค่ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดา แต่ทำไมหน้าไม่มีสิว แถมยังหน้าใสกิ๊กอีกต่างหาก .......><

งั้นลองมาดูสาเหตุของสิวต่อไปนี้กันค่ะ

สารพิษสะสมในลำไส้
  เชื่อหรือไม่คะ ว่าร่างกายของเราสะสมแบคทีเรียในร่างกายเป็น 10 เท่าของจำนวนเซลล์ในร่างกาย เราแบ่งเจ้าแบคทีเรีย ออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก : Probiotic เป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์
กลุ่มที่สอง : Phatological เป็นแบคทีเรียตัวร้ายค่ะ
  คนที่มีสุขภาพดีจะมีแบคทีเรียกลุ่มแรก 85 % และมีแบคทีเรียกลุ่มที่สอง 15 % อยู่ในร่างกาย
สารพิษที่ว่านั้น ก็เกิดจากแบคทีเรียกลุ่มที่สอง สะสมในร่างกายมากกว่ากลุ่มแรก

ระบบย่อยอาหารมีปัญหา
ระบบการย่อยของมนุษย์ค่อนข้างซับซ้อน  การย่อยที่สมบูรณ์จะทำให้มีเอนไซม์จำนวนมาก ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย เอนไซม์บางตัวร่างกายสร้างได้เอง แต่บางตัวมาจากอาหารที่เรากินเข้าไป
เอนไซม์จากภายนอกร่างกาย (หรือเอนไซม์จากอาหาร) จะถูกทำลายเมื่อผ่านกระบวนการปรุงอาหาร และความร้อน  อาหารที่ร่างกายย่อยไม่ได้ ร่างกายก็จะไม่นำไปใช้ อาหารที่ไม่ถูกย่อยจะเคลื่อนตัวจากกระเพาะอาหารลงสู่ลำไส้ใหญ่  ดังนั้น ลำไส้ใหญ่ของเราก็จะเป็นเหมือนสถานีเก็บของเหลือใช้  ซึ่งในลำไส้ใหญ่จะมีผนังสำหรับป้องกันแบคทีเรียตัวร้ายที่จะเข้าสู่เส้นเลือด อาหารที่ไม่ถูกย่อยจะมีแบคทีเรียตัวร้ายอยู่ เจ้าแบคทีเรียตัวร้ายนี้แหล่ะที่ก่อให้เกิดสารพิษสะสม (ลองนึกภาพถังขยะที่เราทิ้งเศษอาหารไว้ในครัวเราดูนะคะ) ภาพของลำไส้ใหญ่เราของเรากับถังขยะในครัว เหมือนกันเลยค่ะ แต่ความแตกต่างคือ ในลำไส้ใหญ่ของเรามีลักษณะที่อุ่นและร้อนกว่าถังขยะในครัว ซึ่งเจ้าแบคทีเรียตัวร้ายชอบอาศัยอยู่


                                   (รูป toxin colon ของเสียที่สะสมในลำไส้ใหญ่ กลิ่นแรงมากค่ะ) 
                                          ภาพนี้เจ้าของภาพกำจัดออกด้วยการดีท็อกซ์ค่ะ 
                                                   เจ้าสิ่งนี้มันคือขยะในลำไส้ใหญ่


ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแค่วันเดียว  แบคทีเรียตัวดีที่มีจำนวนเยอะกว่า ก็สามารถกำจัดแบคทีเรียตัวร้ายออกไปได้  แต่ลองจินตนาการว่า ถ้าเกิดขึ้นทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ล่ะ แน่นอนว่า เกิดการสะสมและเพิ่มปริมาณแบคทีเรียตัวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อในลำไส้ใหญ่มีแต่แบคทีเรียตัวร้าย  ซึ่งปล่อยสารพิษออกมา (toxin) สารพิษจะเข้าทำลายผนังลำไส้ใหญ่ที่กั้นไม่ให้สารพิษเข้าสู่กระแสเลือด  เมื่อผนังถูกทำลาย  สารพิษจึงเริ่มเดินทางเข้าไปตามกระแสเลือดของเรา  เลือดก็จะนำสารพิษเหล่านี้เข้าไปสู่ ตับ และ ไต ตามระบบการไหลเวียนโลหิต ตับและไต ของเราก็เป็นแหล่งกำจัดของเสีย (toxin)
แต่ถ้าของเสียเหล่านี้ ตับและไต ไม่สามารถกำจัดได้ ก็จะถูกเก็บสะสม ไว้ที่เซลล์ไขมัน กระดูก และกล้ามเนื้อ เสมือนกับการฝังสิ่งอันตรายไว้ในเซลล์ของร่างกาย
สิว กับ สารพิษ เกิดขึ้นได้อย่างไร?
                        เหตุผลที่สารพิษในร่างกายก่อให้เกิดสิวบนใบหน้าหรือส่วนต่างๆของร่างกาย คือ สารพิษถูกผลักออกทางผิวหนังเพราะเซลล์ร่างกายต่อสู้กับสารพิษ จึงผลักให้ออกมาทางผิวหนัง ซึ่งเป็นแหล่งที่มีอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของแบคทีเรีย อีกหนึ่งเหตุผล คือ สารพิษเข้าไปรบกวนการผลิตฮอร์โมนของร่างกาย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองทฤษฎีนี้ ก็มีที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือ สารพิษรั่วไหลออกจากลำไส้ใหญ่นั่นเอง และสารพิษเหล่านี้ก็เข้าโจมตีจุดที่อ่อนที่สุดของร่างกาย ซึ่งร่างกายของคนเรานั้นถูกออกแบบมาแตกต่างกัน ในขณะที่คนหนึ่งแสดงออกถึงจุดอ่อนในร่างกายเมื่อมีสารพิษสะสมในปริมาณมาก คือ เป็นสิว ส่วนอีกคนแสดงออก คือ ความอ้วน , มีกลิ่นปากแรง, ปวดหัวไมเกรน  ภูมิแพ้  โรคอ่อนเพลีย  เป็นต้น อาการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ร่างกายมีสารพิษสะสมมากเกินไป จำเป็นต้องถูกกำจัดออก


สรุปสั้นๆ ดังนี้ค่ะ


อาหารที่ไม่ถูกย่อย --- > ทำให้แบคทีเรียตัวร้ายเจริญเติบโต --- > เกิดสารพิษในตับและไต ---> เ็ป็นสิว 



แอร์เชื่อค่ะว่า  สารพิษในร่างกายคือบ่อเกิดของสิว .... เพราะเมื่อแอร์ทำดีท็อกซ์ (กำจัดสารพิษออกจากลำไส้) ผลที่ได้รับคือ สิวยุบลงเร็วมาก ใช้เวลาเฉลี่ยไม่ถึงสัปดาห์ ในขณะที่การใช้ผลิตภัณฑ์หรือว่ายารักษาสิว ให้ผลรักษาโดยใช้เวลานับเดือน หรือ อาจไม่เห็นผลเลย

สาเหตุของอาหารไม่ย่อย

บางคนมีอาการของอาหารไม่ย่อย เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ  แต่สำหรับบางคนอาจไม่มีสัญญาณบอกเหตุนั้นเลย ... มีหลายทฤษฎีที่บอกว่า  อยากสุขภาพดีต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่อาหารในหมู่โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต  ทั้งคู่ ทำให้ระบบการย่อยอาหารแย่ลง เพราะการย่อยโปรตีน ต้องใช้กรดที่มีค่าเป็น กลาง ในขณะที่คาร์โบไฮเดรตต้องใช้ด่างที่มีค่าเป็นกลาง แต่กระเพาะอาหารของเรามีค่าเป็นกรดกลางๆ ฉะนั้นคาร์โบไฮเดรตจึงไม่ถูกย่อยโดยกระเพาะอาหาร  อาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเมื่อกระเพาะย่อยไม่ได้ก็จะเคลื่อนตัวลงสู่ลำไส้เล็ก แต่ลำไส้เล็กมีสภาพเป็นด่างอ่อนๆ จึงย่อยอาหารในหมู่นี้ไม่ได้เช่นเดียวกัน ถ้ากระเพาะอาหารมีกรดอยู่มาก ก็จะยิ่งเพิ่มจำนวนแบคทีเรีย ซึ่งแบคทีเรียจำทำให้โปรตีนเน่าเปื่อยในกระเพาะอาหาร
ดังนั้นการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ มีข้อสังเกตุคือ
1. โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ไม่สามารถย่อยได้พร้อมกัน  ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานโปรตีนและคาโบไฮเดรตพร้อมกัน
2. ไขมันและคาโบไฮเดรตไม่สามารถย่อยได้พร้อมกัน
3. ควรรับประทานผลไม้ขณะท้องว่าง และไม่ควรรับประทานพร้อมอาหารอื่นๆ เพื่อให้ได้คุณค่าและวิตามินสูงสุด
4. การรับประทานอาหารง่ายๆ โดยไม่ผ่านการปรุงแต่งทำให้ระบบย่อยทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
5. ควรรับประทานผักผลไม้ดิบ

สาเหตุอีกประการของอาหารไม่ย่อย
คือ เอนไซม์ไม่เพียงพอต่อการย่อย เอนไซม์คือสิ่งที่ร่างกายต้องการเพื่อทำให้เกิดปฎิกิริยาเคมีในการทำให้อาหารที่เรารับประทานเข้าไปมีขนาดเล็กลง เพื่อง่ายต่อระบบย่อยอาหาร ซึ่งเอนไซม์ในอาหารเหล่านี้มักถูกทำลายได้โดยง่ายจากการปรุงแต่งอาหาร ผ่านความร้อน และกระบวนการต่างๆ การปรุงอาหารโดยใช้ความร้อนกว่า 118 ฟาเรนไฮต์ สามารถทำลายเอนไซม์ในอาหารได้อย่างสิ้นเชิง

อีกสาเหตุคือ การรับประทานอาหารมากเกินไป  ทำให้ระบบย่อยอาหารมีปัญหาและต้องทำงานอย่างหนัก  การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงจึงเป็นสิ่งสำคัญช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้รวดเร็ว

สิวไดอารี่..My acne diary

             บล็อคนี้ แอร์ทำขึ้นเพื่อ เป็นความรู้และแชร์ประสบการณ์เรื่องสิวๆ
 ให้กับทุกคนที่กำลังประสบปัญหาีนี้อยู่ และทั้งผู้ที่บอกลาเจ้าสิวนี่อย่างถาวร ^___^
แอร์ได้ใช้วิธีนี้รักษาตัวเอง จนได้ผลดี เลยอยากนำความรู้และประสบการณ์ในช่วงที่เป็นสิว 
จนกระทั่งสิวค่อยๆจางหายไป ถึงทุกวันนี้  แอร์เจอปัญหาสิวมามากกว่า 5 ปี  
ทำทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้หายสิว
ทั้งกดสิว ฉีดสิว ใช้ยารักษาสิว  กินยารักษาสิวเกือบจะทุกประเภท 
 เรียกว่าวิธีไหนรักษาสิวได้ แอร์ก็ทำมาหมด แต่ !!! มันไม่ใช่วิธีที่ทำให้สิวหายไป
 สิวยังคงมีอยู่ ทรงๆ ทรุดๆ ประสบการณ์เลวร้ายของแอร์คือ
 เคยไปรักษาที่คลินิกโรคผิวหนังแห่งหนึ่ง (ไม่ขอเอ่ยนามค่ะ) 
 การรักษาที่นี่ก็คือ ฉีดสิว กดสิว ทานยา (โรแอคคิวเท็น)
 และที่แย่กว่านั้น คือการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ ถ้าใครที่ยังไม่รู้่ว่า
 การรักษาสิวอุดตันด้วยเลเซอร์ทำกันยังไง วันนี้มีคลิปมาให้ดูค่ะ

                                                     (การรักษาสิวอุดตันด้วยเลเซอร์)


                        การรักษาสิวอุดตันด้วยเลเซอร์เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีไม่กี่คลินิกในเมืองไทยนำมาใช้  ขั้นตอนคือ ทาเจลบนหน้า ทิ้งไว้ ใส่หมวก ุุณเหมือนจะเข้าห้องผ่าตัดค่ะ  ใส่ที่ปิดตาแบบกันแสงเลเซอร์ ส่วนวิธีรักษาดูจากภาพได้เลยค่ะ ว่าน่ากลัวมาก และเจ็บมากค่ะ แต่แอร์เคยทำแล้ว 4 ครั้ง คุณหมอที่คลินิก บอกว่า ใช้เวลารักษาสองเดือน  ค่าใช้จ่ายก็สูงตามลำดับการรักษาค่ะ  แต่ถามว่า ทำแล้วผลที่ได้รับเป็นอย่างไรบ้าง ตอบได้เลยค่ะว่า ....              หน้าแย่กว่าเดิม ทำให้เกิดรอยดำบนหน้าเยอะมาก จากรอยเลเซอร์และรอยกด
(แต่สำหรับคนไข้ที่ไปรักษาสิวบางท่านอาจได้ผลดี แต่สำหรับแอร์วิธีนี้ได้ผลในทางตรงกันข้าม)
          หลังจากนั้นจึงเลิกไปหาหมอที่คลินิกดังกล่าว เลิกทานยาโรแอคคิวเท็น
 (ที่เป็นยาวิเศษในการรักษาสิว) เลิกทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ผลิตภัณฑ์ในการรักษาสิวของคลินิกดังกล่าว วันต่อมาสิวขึ้นเต็มหน้าเลยค่ะ มีทั้งสิวหัวหนองและสิวอักเสบ นับสิบๆ เม็ด ขึ้นพร้อมกัน
ไม่กล้าออกจากบ้านเลยค่ะอายมาก หน้าทั้งแดง ทั้งแสบ ผลจากการกดสิว และรักษาด้วยเลเซอร์ เป็นความทุกข์ทรมาน ทั้งภายในจิตใจและร่างกาย
          แอร์พยายามหาวิธีรักษาสิวมาหลายวิธี แต่ก็ไม่เจอวิธีไหนจะได้ผลกับตัวเอง  กลายเป็นปัญหาสิวเรื้อรัง  มีสิวขึ้นทุกวัน แม้หน้าไม่มันก็มีสิว  ..........T_T และเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก ไม่รู้จะรักษาอย่างไร จะไปหาหมอเทวดาที่ไหนดี  ลองเข้าไปค้นข้อมูลจากเวปไซต์ acnethai.com เพื่อนๆที่มีปัญหาแต่ละคนก็จะมาแชร์ประสบการณ์กัน ว่าควรใช้ผลิตภัณฑ์นี้ ใช้แล้วได้ผล ใช้แล้วดี สิวหาย แอร์ก็สรรหามาใช้ค่ะ แต่ก็ยังไม่ใช่คำตอบ สิวก็ยังขึ้นอยู่เหมือนเดิม
         จนกระทั่งวันนึง  ได้ดูรายการทีวี ของคุณหมอแดง ดิ อโรคยา  พูดถึง ปัญหาสิว ซึ่งคุณหมอแดงได้พูดถึงสาเหตุของสิวที่แท้จริง และการรักษาอย่างวิธีธรรมชาติบำบัดที่ให้ผลอย่างยั่งยืน จากนั้นแอร์จึงได้ศึกษาการรักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด โดยการค้นข้อมูลจากหลายๆที่ และทดลองด้วยตัวเอง จนวันนี้แอร์ได้รู้แล้วค่ะ ว่า "วิธีนี้ เป็นวิธีที่ได้ผลแน่นอน"